ที่น่ากลัว คือ บางทีเรามัวยุ่งวุ่นวาย
จึงไม่แม้ตระหนักว่า มีของมีค่ายิ่งแตกไปในร่างกายของเรา และเขาไม่ใช่สิ่งห่างไกล...
เพราะเป็นเส้นเลือดในสมองของเรานั่นเอง!
คุณหมอบอกว่า บางครั้งที่เรายังไม่ตระหนักว่าสิ่งมีค่าเพิ่งระเบิดไป เพราะบังเอิญยังไม่ใช่บริเวณที่เป็นอวัยวะสำคัญ
วันร้ายคืนร้าย
เมื่อจุดแตก เป็น “จุดตาย”
กว่าจะรู้ตัวก็แสนสาย
เพราะอาจต้องแลกด้วยชีวิต
ช่วงที่ผ่านมา ท่านผู้อ่านหลายท่านคงได้เห็นการรณรงค์ขององค์กรด้านสุขภาพ อาทิ สสส.สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และกระทรวงสาธารณสุข ร่วมมือกัน ประชาสัมพันธ์ให้คนไทยรู้จักมักจี่กับโรคที่เป็นมหันตภัยเงียบ ที่มีชื่อว่า NCDs
NCDs หรือ Non-Communicable Diseases แปลเป็นไทยว่า โรคไม่ติดต่อ ไม่สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้
NCDs นี้มิใช่โรคภัยธรรมดา เพราะเขาเป็นฆาตกรอันดับหนึ่ง ที่ทึ้งคร่าชีวิตคนเป็นว่าเล่น
ข้อมูลจากองค์กรอนามัยโลกระบุว่า ในปี 2554 NCDs ทำให้คน 36 ล้านคนเสียชีวิต เทียบเป็นถึง 68% ของการเสียชีวิตของประชากรในโลกทั้งหมด
ในบ้านเรา ตัวเลขน่าเศร้าและน่าสะพรึงกลัวกว่า เพราะว่าการเสียชีวิตจาก NCDs สูงขึ้นอีกระดับ นับเพิ่มเป็น 73% ของผู้เสียชีวิตทั้งหมดในปี 2552
“ฮ่าๆๆ สาเหตุการตายอื่นๆ ทั้งปวงรวมตัวกัน ยังทรงพลังไม่เท่าฉันเจ้าเดียว” เจ้าNCDs หัวเราะเยาะเย้ยมนุษย์
ที่เขาหัวเราะดังเป็นพิเศษ เป็นเพราะตระหนักว่า ต้นเหตุสำคัญของ NCDs มาจากเจ้าตัวมนุษย์ที่คิดว่าตนสุดปราดเปรื่องนั่นเอง
ข่าวร้าย คือ NCDs เป็นผลโดยตรงจากวิถีการดำรงชีวิตประจำวันที่ไม่สมดุล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการไม่ออกกำลังกาย การกินดื่มตามใจปาก การพักผ่อนนอนไม่พอเพียง การทำงาน และความเครียดที่เบียดบังความสุข
ข่าวดี คือ เราทำตัวเองได้ เราก็เลิกเองได้
วันนี้มาคุยกันถึงหนึ่งวิธีง่ายๆ ในการสู้กับภัยที่มากับความเครียด โดยการใช้เจ้าสี่ขาที่หน้าตาเป็นน้องหมาน้องแมวเป็นตัวช่วย
ผลการวิจัยเรื่องประโยชน์ของสัตว์เลี้ยงต่อเจ้าของ บ่งชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า
คนที่มีสัตว์เลี้ยงจะเครียดน้อยกว่า และมีความเสี่ยงจากโรคกลุ่มสำคัญ คือกลุ่มระบบหัวใจ และหลอดเลือด น้อยกว่าคนที่ไม่มีสัตว์เลี้ยง
ข้อมูลจากการวิจัยที่น่าเชื่อถือ อาทิ การศึกษาของสถาบันสุขภาพแห่งชาติ และกระทรวงสาธารณสุขของสหรัฐอเมริกา บ่งบอกว่า สัตว์เลี้ยงแสนรักสามารถช่วยสุขภาพของเจ้าของ เพราะเขาจะประคองทั้งสุขภาพด้านกาย และสุขภาพใจ ตลอดจนอารมณ์ของเจ้านายได้อย่างไม่เบื่อหน่ายเหน็ดเหนื่อย
ในด้านสุขภาพกาย ผลการวิจัยทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ฟันธงว่าการเลี้ยงดูอีกชีวิตที่ไม่เคยคิดร้ายกับเรา ช่วยบรรเทาอาการโรคร้ายที่โยงใยกับความเครียด
อาทิ สามารถลดความดันโลหิต ได้ผลคล้ายกับการลดเกลือในอาหาร และการลดเครื่องดื่มประเภทสุรา
ผู้ป่วยที่เครียดจนหัวใจเต้นกระหน่ำ พอได้คลำหัวเจ้าตูบ ลูบน้องเหมียว หรือเฝ้าดูปลาว่ายวนไปมา หัวใจก็จะเต้นช้า และสงบลงได้ กล้ามเนื้อที่เกร็งก็ผ่อนคลาย สบายขึ้น
สถาบันสุขภาพแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา วิจัยและติดตามผู้ป่วยโรคหัวใจจำนวน 421 คน เป็นเวลา 1 ปีหลังจากมีอาการหัวใจวาย ปรากฏว่ากลุ่มผู้ที่เลี้ยงหมา มีอัตราการรอดชีวิตสูงกว่าผู้ที่ไม่มีหมาให้ดูแล อย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนั้น เมื่อวัดระดับความเครียดและการเต้นของหัวใจ ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นเมื่อมีสัตว์เลี้ยงอยู่ใกล้ๆ
สงบเย็นกว่ายามภรรยาหรือสามีมาให้เห็นหน้าด้วยซ้ำ.. อุย!
ส่วนด้านจิตใจ สัตว์เลี้ยงก็มีส่วนในการเยียวยา
การศึกษาในประเทศออสเตรเลียระบุว่า คนที่เลี้ยงสัตว์ มีสุขภาพจิตที่แข็งแรงกว่าผู้ที่ไม่ได้เลี้ยง
สำหรับผู้ที่มีความเครียดสูง เช่น ผู้ที่มีปัญหาที่ทำงาน คนตกงาน หรือผู้ที่กำลังผ่านอุปสรรคหนักๆในชีวิต เช่น การหย่าร้าง กลุ่มที่มีสัตว์เลี้ยงจะมีอัตราการใช้ยาลดความเครียด ตลอดจนการเป็นโรคซึมเศร้า น้อยกว่าคนที่ไม่มีสัตว์เลี้ยงข้างกาย
เด็กที่ได้มีโอกาสดูแลสัตว์เลี้ยง ก็จะมีแนวโน้มที่จะมีสุขภาพจิตดีกว่าเด็กทั่วไป วัดได้จากความรื่นเริง อารมณ์ที่แจ่มใส การพัฒนาการที่ดีในการตอบสนองต่อสิ่งรอบกาย เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กในวัยเดียวกันที่ไม่มีสัตว์เลี้ยงแสนรัก
ท่านที่รักน้องเหมียวหรือน้องหมา คงไม่แม้แต่ติดใจสงสัยว่า เขามีคุณค่าอย่างไรในการลดความเครียด และเพิ่มความรื่นรมย์ให้ชีวิต
ไม่ว่าจะเป็นเจ้าตูบตัวแพง หรือเจ้าหางแด่นหน้าจุด ที่พลัดหลุดหลงมาให้เราเลี้ยง แม้เขาจะเปล่งเสียงเป็นภาษามนุษย์ไม่ได้ แต่เราสัมผัสได้อย่างกระจ่างใจ ว่าเขารู้คุณคนที่ให้การเลี้ยงดู
เรารู้ว่าหมาตอบแทนเจ้าของ ด้วยการให้ทุกวันทั้งชีวิตเขา พร้อมเฝ้าจดจ่อและรอคอย ว่าเมื่อไหร่หนอ พ่อแม่จะกลับบ้าน จะได้โลดเต้นดีใจต้อนรับ
ไม่ว่าจะเย็นย่ำค่ำคืน ไม่ว่าเราจะทำงานเสร็จหรือไม่ หรือล้มเหลวมาอย่างไร
เขาไม่เคยติดใจ ไม่เคยมีข้อแม้แต่ประการใด
เพราะรักแล้ว...รักเลย
Tags : บริหารจัดการ