10 นิสัยยอดมนุษย์ เพื่อก้าวสู่ชีวิตและงานที่ดีกว่า

10 นิสัยยอดมนุษย์ เพื่อก้าวสู่ชีวิตและงานที่ดีกว่า

 

การพัฒนาตัวเองให้มีประสิทธิภาพอยู่เสมอก็เป็นสิ่งสำคัญในการทำงาน ซึ่งหลายคนอาจมองว่าต้องเสียเวลาไปเข้าคอร์สเรียนเพิ่มเติม ทั้งที่ความจริงแล้วเราสามารถพัฒนาตัวเองได้ง่าย ๆ เพียงแค่ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างเท่านั้น

          การใช้ชีวิตให้บาลานซ์ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกันอย่างไม่น่าเชื่อ เพียงแค่เราลองหัดสังเกตพฤติกรรมประจำวันของเราว่ามีอะไรมากเกินไป หรือน้อยเกินไปไหม ที่ต้องปรับให้สมดุลกัน  เพราะข้อมูลจากเว็บไซต์ Forbs.com เผยว่า การมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีย่อมส่งผลถึงหน้าที่การงานของเราด้วย ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่ตัวเราเองมีประสิทธิภาพอยู่แล้ว ซึ่งเราสามารถพัฒนาได้จาก 10 สิ่งต่อไปนี้ มาลองเช็กกันดูว่ามีอะไรบ้างที่ควรทำ ถ้าอยากมีชีวิตที่ดีกว่า..


  1. กินคลีน

          ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า อาหารที่ให้พลังงานสูงและดีต่อร่างกายที่สุด คือ อาหารหมู่โปรตีน และไฟเบอร์ โดยเฉพาะวิธีกินแบบมังสวิรัติ หรือกินคลีน การกินแบบนี้ถือเป็นการกินเพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง เพราะเรามั่นใจได้ว่าอาหารเข้าสู่ร่างกายแล้วถูกดึงไปใช้พลังงานเลย  มีส่วนน้อยเท่านั้นที่จะเหลือสะสมเป็นแคลอรี่ส่วนเกิน  เมื่อร่างกายไม่มีแคลอรี่ส่วนเกินจากอาหารประเภทน้ำตาล และไขมันสะสมอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายแล้ว เราก็จะมีแรงทำงานมากขึ้น สมองคิดอ่านอะไรได้ไวขึ้น รู้สึกอ่อนเพลียน้อยลง และยังไม่เจ็บป่วยง่ายอีกด้วย ใครไม่เชื่อต้องลองทำดูนะคะ

  2. ออกกำลังกาย

          ลองคิดเล่น ๆ ว่าเราทำร้ายร่างกายในแต่ละวันมากเท่าไร โดยเฉพาะการนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ติดต่อกันนานเพียง 2-3 ชั่วโมง ก็สามารถทำให้กระบวนการต่าง ๆ ในร่างกายทำงานผิดปกติไปจากเดิมได้แล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าเราจะรู้สึกว่าสุขภาพร่างกายถดถอยลงไปทุกวันทำให้ทำงานได้ไม่เต็มที่ วิธีเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีก็คือ แบ่งเวลาบริหารร่างกายให้ได้อย่างน้อย 30 นาทีทุกวัน ด้วยการทำคาร์ดิโอช่วยกระตุ้นระบบการไหลเวียนโลหิตให้ทำงานเป็นปกติขึ้น เช่น แอโรบิค วิ่ง จ็อกกิ้ง ปั่นจักรยาน กระโดดเชือก เป็นต้น เพียงเท่านี้ร่างกายเราจะฟิตพร้อมใช้งานอยู่เสมอแล้ว

  3. นอนกลางคืนให้ได้ 7 ชั่วโมง


          การนอนหลับที่มีประสิทธิภาพดีคือการนอนให้ได้ประมาณ 7 ชั่วโมง แต่ไม่ควรเกิน 9 ชั่วโมง เพราะเป็นจำนวนชั่วโมงที่เหมาะสมกับการทำงานของคลื่นสมองครบทั้ง 4 ระยะ ที่จะส่งผลให้เกิดกระบวนการซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายก็เป็นไปอย่างสมบูรณ์ หลังจากตื่นนอนจึงรู้สึกว่านอนเต็มอิ่ม และการนอนเต็มอิ่มก็ทำให้สมองปลอดโปร่ง สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้อย่างกระฉับกระเฉง ดังนั้นใครที่มักจะรู้สึกง่วงนอนเวลาทำงานช่วงบ่ายเป็นประจำ ลองปรับเวลาเข้านอนให้เร็วขึ้นกว่าเดิมดูอาจช่วยได้

  4. นั่งสมาธิ 


          ตามตำราแพทย์จีนเชื่อว่า ธาตุหยินและธาตุหยางในร่างกายที่่ไม่สมดุลกันจะทำให้เราเจ็บป่วยได้  เช่น ปวดท้อง ปวดหัว นอนไม่หลับ ท้องผูก เป็นต้น โดยที่อาการเหล่านี้ทำให้เรารู้สึกไม่สดชื่น ไม่มีแรง และหนึ่งในวิธีปรับสมดุลธาตุหยินและธาตุหยางก็คือ การฝึกสมาธิ เพราะในขณะที่เรานั่งสมาธิ เราต้องฝึกควบคุมสมองของเราไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน รวมถึงต้องฝึกกำหนดลมหายใจเข้า-ออกด้วย ดังนั้นลองฝึกนั่งสมาธิก่อนนอนดูอย่างน้อย 5 นาทีต่อวัน จะช่วยให้สมองปลอดโปร่งมากขึ้น มีสมาธิจดจ่อกับงานนานขึ้นกว่าเดิม

5. สำรวจแรงบันดาลใจของตัวเองทุกวัน

          แรงบันดาลใจเป็นสิ่งนำทางให้เราทำสิ่งต่าง ๆ ได้สำเร็จ และยังเป็นกำลังใจให้เรารู้สึกอยากต่อยอดสิ่งใหม่ ๆ ด้วย  ดังนั้นไม่ว่าเราจะกำลังทำในสิ่งที่รักหรือไม่ก็ตาม ก็ควรจะสร้างกำลังใจให้ตัวเองด้วยการถามตัวเองทุกวันว่าแรงบันดาลใจในการทำงานของเรามีอะไรบ้าง หากใครนึกไม่ออก เราขอแนะนำให้อ่านคำคมวันละ 1 ประโยค ในตอนเช้าก่อนเริ่มทำงาน จะได้มีเป้าหมายที่เป็นแรงผลักดันให้อยากทำงานต่อไป 

  6. ฝึกมองโลกในแง่ดี


          สังคมแบบตัวใครตัวมันในทุกวันนี้้ อาจทำให้ทัศนคติของเราเปลี่ยนไปในทางลบได้ทุกวัน ดังนั้นลองมาฝึกปรับทัศนคติให้มองโลกในแง่ดีดูบ้าง นั่นคือ เขียนถึงสิ่งที่รู้สึกแฮปปี้มาก ๆ ให้ได้ 5 อย่างเป็นประจำทุกวัน เช่น วันนี้อากาศหนาว รถไม่ติด มีคนให้ดอกไม้ ได้ใส่ชุดใหม่ และได้รู้จักเพื่อนร่วมงานคนใหม่ เป็นต้น การเขียนบันทึกแบบนี้จะช่วยพัฒนามุมมองของตัวเองให้เปิดกว้างมากยิ่งขึ้น

 7. เข้าใจจุดยืนตัวเอง 
 

          หลายคนไม่เคยถามตัวเองว่า ทุกวันนี้จุดยืนในชีวิตคืออะไร ทั้งที่เป็นสิ่งพื้นฐานในการพัฒนาตัวเองให้มีประสิทธิภาพ ช่วยให้เราคิดวางแผนอนาคต ในขณะเดียวกันช่วยเตือนความผิดพลาดในอดีตไม่ให้ทำพลาดอีกเช่นกัน ดังนั้นอย่ามัวคิดย้อนไปว่าเราเคยทำงานอะไรมาก่อน แต่ให้มองว่าทุกวันนี้เรากำลังทำอะไรอยู่ และจะทำอย่างไรให้ชีวิตก้าวหน้ามากขึ้น การใช้วิธีคิดแบบนี้จะทำให้เราคิดหาหนทางพัฒนาข้อด้อยของตัวเอง และเสริมสร้างจุดเด่นของตัวเองได้อย่างถูกทางมากขึ้น

 8. มีความกระตือรือล้นที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่

          ใครที่ทำงานมานานจนรู้สึกอิ่มตัว จนรู้สึกว่าไม่มีอะไรให้ต้องเรียนรู้อีกต่อไปแล้ว เราก็ขอบอกไว้เลยว่าโลกทุกวันนี้ก้าวไปเร็วมาก แม้แต่การทำงานที่น่าเบื่อ ซ้ำซาก จำเจ ก็ยังมีอะไรให้เราเรียนรู้ได้ทุกวัน ดังนั้นหากสิ่งที่กำลังทำอยู่เหมือนมาถึงทางตันแล้ว ก็ขอลองมองหาไอเดียใหม่ ๆ ต่อยอดดู ไม่แน่ว่าไอเดียใหม่ที่ค้นพบได้อาจกลายเป็นวิธีใหม่ที่ทุกคนต้องมาเรียนรู้จากเราก็ได้

  9. เข้าสังคม


          การเข้าสังคมคือการเปิดตัวเองให้เป็นที่รู้จักกับคนอื่นมากขึ้น เป็นการแลกเปลี่ยนมุมมองความคิดใหม่ ๆ ดังนั้นหากใครคิดว่าการทำงานแบบไม่ต้องพบปะคนเยอะถือเป็นเรื่องที่ดีแล้ว อาจจะต้องคิดดูใหม่ เพราะการที่เราเป็นที่รู้จักนั้นอาจมีประโยชน์อย่างมากในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อเราต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่น ดังนั้นเมื่อไรที่มีโอกาสไปงานสังสรรค์ก็อย่าลืมแนะนำตัวเองอย่างย่อ และพกนามบัตรติดตัวไปด้วย เพื่อที่ว่าเราจะได้มีคอนเน็กชั่นเพิ่มขึ้น

  10. เดินทางท่องเที่ยว

          การเดินทางท่องเที่ยวก็เป็นเหมือนโบนัสให้เราได้ชุ่มฉ่ำใจ  ดังนั้นเราก็ควรเติมสีสันให้ชีวิตด้วยการวางแผนท่องเที่ยวเอาไว้บ้างอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เช่น ทริปเล็ก ๆ เดินทางไปต่างจังหวัดช่วงกลางปี และทริปใหญ่เป็นเดินทางไปต่างประเทศช่วงปลายปี เป็นต้น การเดินทางท่องเที่ยวแบบนี้จะช่วยปรับเปลี่ยนทัศนคติในชีวิตของเราที่เคยเป็นอยู่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้เรารู้สึกเปิดใจรับสิ่งใหม่ ๆ และรู้สึกได้ชาร์จพลังให้อยากกลับมาทำงานได้เต็มร้อยมากขึ้นด้วย

          เทคนิคการพัฒนาตัวเองของใครหลายคนอาจมีมากกว่า 10 ข้อที่เรานำมาฝาก แต่อย่างไรก็ตาม ใครที่อ่านแล้วพบว่าตัวเองยังไม่เคยทำเลยสักวิธีเดียว เราขอแนะนำให้ลองปรับไปใช้ดูนะคะ จะได้เริ่มต้นปีใหม่ด้วยการเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่มีประสิทธิภาพกว่าเดิมเนอะ

 878
ผู้เข้าชม
สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์