หน้าเทศกาลงานแห่งความสุขเป็นช่วงที่ทุกคนรู้สึกว่า กำลังจะได้พักผ่อน จึงไม่น่าแปลกที่ช่วงปลายปีจะมีกิจกรรมสารพัดเข้ามา ถ้าเป็นเมืองนอกก็จะเริ่มมีภาพยนตร์เกี่ยวกับคริสต์มาสเข้ามาจอคิว แต่โดยทั่วไปแล้วกิจกรรมอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือ “การเลี้ยงฉลอง” เป็นของที่สร้างขวัญกำลังใจให้กับคนเราได้มาก
งานเลี้ยงเป็นสิ่งที่พาให้คนในองค์กรรู้สึกอบอุ่นหายเหนื่อยได้ ซึ่งหากจะเปรียบวันหยุดต่อปีที่มีมากมายของคนไทยเราเป็นอาหาร 3 มื้อ ปลายปีก็ดูจะเป็นมื้อใหญ่สุด ทั้งห้างใหญ่ก็เซลล์กระหน่ำทำยอดขาย, มหกรรมรถยนต์จัดทิ้งท้ายก็ช่วงนี้ และงานเลี้ยงฉลองต่างๆ ก็จะจัดอย่างมโหฬาร เพราะงานเถลิงศกเป็นงานใหญ่ที่ตรงกันทั้งโลก ซึ่งของกินก็จะมีมากมายตาม
ใครยิ่งดังก็ยิ่งต้องไปนั่งตามงานเลี้ยงถี่ในช่วงนี้เช่นกัน การกินอาหารดีๆ ก็มีผลกับสุขภาพเช่นกันครับ โดยเฉพาะกับของดีที่มีมากเกินไปจะพาให้เกิดความไม่สบายขึ้นมาได้ ดังตัวอย่างเช่น กินแป้งกินข้าวและขนมมากไปก็เพิ่มรอบพุง บริโภคมันฝรั่งกรุบกรอบมากไปก็ได้ความดันขึ้น ดื่มน้ำหวานและน้ำอัดลมมากไปก็ได้โรคติดหวานกับโรคอ้วน จิบแอลกอฮอล์บ่อยไปก็ได้ตับพังแถมมันจุกตับ
สรรพของกินที่เรียงรายไว้ในงานจัดเลี้ยงด้วยจุดประสงค์ เพื่อสร้างความบันเทิงให้กระเพาะนั้น อาจทำให้ท่านป่วยด้วยโรคควันหลงหลังงานก็เป็นได้ แล้วทำให้วันหยุดยาวกลายเป็นวันนอนป่วย ซึ่งเชื่อว่าไม่มีใครอยากมีวันหยุดเป็นวันพักฟื้น เพื่อคืนความสุขให้สมบูรณ์แบบในช่วงปลายปี จึงขอให้ท่านที่รักเตรียมวิธีดีๆไว้สำหรับรับมือการงานเลี้ยงสังสรรค์ที่มีเพื่อความสุขไว้ โดยท่านสามารถใช้เทคนิคอายุรวัฒน์ที่ทำได้ง่ายๆ ดังต่อไปนี้ครับ
1) แบ่งมื้อพิเศษไว้ ในช่วงเทศกาลงานเลี้ยงที่แต่ละท่านได้รับเชิญอาจมีมากกว่า 1 ซึ่งขอให้ท่านพยายามเลือกงานที่ไม่ติดกันเกินไป เช่นทั้งเที่ยงและเย็น เป็นต้น แต่ถ้าเลือกไม่ได้ก็ขอให้ใช้วิธีแบ่งมื้อย่อย โดยไม่กินหนักเต็มอิ่มในแต่ละมื้อ อาจเริ่มต้นกินแต่น้อยแล้วคุยพักเป็นระยะ แล้วยืดเวลาออกไปจะทำให้อิ่มเร็วครับ
2) ไม่ยุ่งแอลกอฮอล์ หรือขอให้ลดน้อยที่สุด เพราะเข้าใจความสนุกช่วงปลายปีของทุกท่านครับ โดยแอลกอฮอล์มีผลกับหูรูดหลอดอาหาร ที่ทำให้อาการกรดไหลย้อนกำเริบได้ยามท่านต้องกินมื้อใหญ่ เทคนิคคือ ขอให้รับประทานอาหารเบาๆ รองท้องไว้ก่อน หรืออย่างน้อยแค่ดื่มน้ำเปล่ารองกระเพาะเอาไว้ก่อนต้องดื่มครับ
3) ของดนอนดึก ท่านที่ต้องเดินสายไปงานเลี้ยงหลายงาน ขออย่านอนดึกแล้วใช้วิธีตื่นสาย เพราะมันจะทำให้ท่านเสี่ยงหิวตอนดึกแล้วกินกระจายครับ เพราะคนที่นอนดึกจากงานเลี้ยงมักไม่หิวมื้อเช้า ยิ่งพอตื่นสายซ้ำก็ทำให้งดมื้อเช้าไปแล้วจะไปหิวเอาตอนค่ำในงาน ซึ่งจะทำให้ติดเป็นนิสัยพาอ้วนง่าย ไม่สบายบ่อยด้วยครับ
4) ฝึกกินรองท้อง การเติมกระเพาะไว้ก่อนเข้างานเป็นความรอบคอบที่ดีครับ เพราะไหนจะรถติด งานเริ่มช้าหรือว่าประธานยังไม่มา แต่ถ้าท่าน “รองท้อง” เอาไว้ก่อนก็จะสดชื่นอยู่ได้ตลอด และที่สำคัญคือ ทำให้มีความยับยั้งชั่งใจสูงในการกินเลี้ยงครับ มีเคล็ดลับอยู่ตรงที่รับประทานอาหารประเภทโปรตีน เช่น นมหรือไข่เอาไว้ก่อน จะช่วยให้พลังกระฉับกระเฉงดีครับ
5) ต้องมีเคอฟิว (กระเพาะ) งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา แม้งานจะดึกสักเพียงใดแต่ถ้าท่านให้ตัวเลขกลมๆ กับตัวเองไว้ว่าจะหยุดกินเมื่อไรนั้นจะเป็นทางหนึ่งที่ช่วยได้ครับ โดยงานแห่งความสุขส่วนใหญ่มักเลิกดึก ซึ่งกว่าท่านจะกลับถึงบ้านก็อาจกว่าเที่ยงคืน ซึ่งเลยเวลาผลิตเคมีช่วยเผาผลาญอาหารไปแล้ว ดังนั้นการกินเข้าไปยิ่งดึกเท่าไรก็ยิ่งเก็บได้มากเท่านั้นครับ
6) อย่ารอให้หิว ย้ำไว้อีกครั้งถึง “กล่องข้าวน้อยเอ็ฟเฟ็กต์” คือ อย่าปล่อยให้ตัวเองท้องว่างจนหน้ามืดก่อนงานเลี้ยง เพราะจะทำให้เสี่ยงการบริโภคล้นเกินกระเพาะได้ ทำให้ได้สารอาหารส่วนเกินมากจนตัวของท่านกลายเป็นที่เก็บส่วนเกินยุ้ยๆไป ถ้าเมื่อไรรู้สึกหิวจัดขอให้ดูแลกระเพาะตัวเองง่ายๆ ก่อนแต่อย่าเพิ่งทานหวาน อาจเป็นนมถั่วเหลืองสักกล่องก็ได้ครับ
7) ตัวปลิวร้องเพลง ขณะรับประทานเลี้ยงขอให้ทำกิจกรรมอื่นไปด้วย อย่าให้ตัวเองว่างแล้วอยู่กับของกินตรงหน้าอย่างเดียว การทำกิจกรรมง่ายๆ เช่นคุยกับคนข้างเคียงก็ได้ หรือดูลูกที่กำลังซุกซนปนลิงเข้า จะช่วยให้ท่านได้ใช้พลังงาน และไม่เผลอรับประทานเยอะเกินไป ยิ่งในช่วงปีใหม่ที่มีกิจกรรมดีๆ น่าสนุก เช่น ร้องคาราโอเกะ, เตะฟุตบอล, จับฉลาก หรือพาเด็กไปกราบผู้ใหญ่ตามที่ต่างๆ ก็ได้ครับ
8) ดื่มน้ำให้มาก เพราะอาหารนอกบ้านหลายเมนูจะทำให้ท่านได้ “โซเดียม” และ “ผงชูรส” ในปริมาณสูง? ซึ่งการดื่มน้ำจะช่วยขับส่วนที่ละลายน้ำของมันออกไปได้ ช่วยล้างพิษในส่วนอื่นๆ ของอาหารที่กินเข้าไปได้อีกมาก ที่สำคัญคือ ช่วยให้อาหารย่อยง่ายขึ้นและเป็นเบรคให้เราอิ่มเร็วขึ้นได้ด้วยครับ
ท่านที่รักจะเห็นว่าเมื่อใกล้ปลายปีเข้ามา เราจะมีโอกาสสัมผัสกับความสุขที่เข้ามามากขึ้น ไม่ว่าจะงานเลี้ยงต่างๆ ดังที่กล่าวไปหรือแววตาที่สดใสของเด็กๆ ที่รู้ว่าจะได้ไปงานสนุก รวมถึงคุณพ่อคุณแม่ที่ท่านตั้งตารอให้ลูกที่รักไปหา ซึ่งไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมใดก็ตาม ความสำคัญนั้นอยู่ที่ความสุขในหัวใจ ที่เราจะสามารถปลุกเขาขึ้นมาให้รู้สึกร่าเริงได้ด้วยแค่ไหน ช่วยกันให้ความสุขกับคนรอบตัวแล้วท่านจะได้สมปรารถนาครับ
บทความโดย : นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ